ประวัติศาสตร์
การฝึกหัดครูไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครเป็นมหาวิทยาลัยด้านการฝึกหัดครูที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยได้รับการสถาปนาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในนาม"โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์"
สังกัดกระทรวงธรรมการ ทำหน้าที่ผลิตครูเพื่อรองรับการขยายตัวของการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน
เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม
พ.ศ. 2435 เป็นสถานศึกษาด้านการฝึกหัดครูแห่งแรกของประเทศไทยมีมิสเตอร์กรีนรอด
ชาวอังกฤษเป็นอาจารย์ใหญ่คนเแรก โดยมีที่ตั้งครั้งแรกอยู่ในบริเวณโรงเลี้ยงเด็ก
ตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง จากนั้นก็ได้ย้ายไปสถานที่ตั้งไปอีกหลายแห่ง
ในปี
พ.ศ. 2449 มีการปรับปรุงหลักสูตรให้กว้างขวางขึ้น
และให้นับเป็นโรงเรียนขั้นอุดมศึกษา และในปี พ.ศ. 2456 ได้รวมเป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เรียกว่า แผนกครุศึกษา
แต่ยังอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงธรรมการ
พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการประกาศประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ จึงเป็นแผนกครุศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเมื่อมีการสถาปนากรมมหาวิทยาลัยขึ้นแล้วรวมโรงเรียนข้าราชการพลเรือนทุกแผนกขึ้นกับกรมนี้
กระทรวงธรรมการจึงได้ย้ายโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ไปสังกัดกรมศึกษาธิการ
แผนกวิชาสามัญศึกษา
วันที่ 15 พฤษภาคม
พ.ศ. 2461 ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์เป็น
"โรงเรียนฝึกหัดครู" เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรประโยคครูประถม (ป.ป.)
และได้ย้ายไปตั้งที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ในปี พ.ศ. 2475 เรียกว่า "โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระราชวังสนามจันทร์"
และโดยที่ภายในพระราชวังสนามจันทร์มีศาลพระพิฆเนศวรอยู่แล้ว
ทางโรงเรียนจึงได้นำรูปพระพิฆเนศวรมาเป็นตราและสัญลักษณ์ของโรงเรียน
พ.ศ. 2477 ได้ย้ายโรงเรียนจากพระราชวังสนามจันทร์มาตั้งที่กองพันทหารราบที่ 6 ถนนศรีอยุธยา หลังวังปารุสกวัน (ปัจจุบันคือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์) จึงเรียกชื่อโรงเรียนว่า
"โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร" และ พ.ศ. 2490 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร"
ผลิตครูตามหลักสูตรประกาศนียบัตรประโยคครูประถม (ป.ป.) ใช้เวลา 3 ปี
พ.ศ. 2498 โรงเรียนฝึกหัดครูพระนครได้ใช้หลักสูตรใหม่
คือ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) เวลาเรียน 2 ปี แทนหลักสูตรประกาศนียบัตรประโยคครูประถมเดิม
เพื่อเร่งรัดการผลิตครูให้ทันกับความต้องการ
1 มิถุนายน พ.ศ. 2499 ได้ย้ายโรงเรียนมาเช่าที่ดินวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร
ณ อาคารเลขที่ 3 หมู่ที่ 6 ตำบลอนุสาวรีย์ ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร
อันเป็นที่ตั้งปัจจุบันโดยยังเช่าที่ดินวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร
ต่อมาจนปัจจุบัน
วันที่ 1 พฤษภาคม
พ.ศ. 2509 กระทรวงศึกษาธิการได้ยกฐานะโรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร
ขึ้นเป็น "วิทยาลัยครูพระนคร"
ทำให้สามารถเปิดหลักสูตประกาศนียบัตรวิชาการศึกศสชั้นสูง (ป.กศ.สูง) ได้
และเพื่อสนองความต้องการของโรงเรียนมัธยมแบบประสม
วิทยาลัยจึงได้เปิดวิชาเอกอุตสาหกรรมศิลป์ โดยรับนักเรียนที่จบ ป.กศ.
มาเรียนวิชาช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างโลหะ ช่างก่อสร้าง และช่างปั้นดินเผา ต่อมาในปี
พ.ศ. 2512 จึงได้เปิดสอนวิชาอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีก
พ.ศ. 2517 ได้เปิดหลักสูตรประโยคครูอุดมศึกษา
(ป.อ.) โดยใช้หลักสูตรของวิทยาลัยวิชาการศึกษา โดยรับผู้สำเร็จ ป.กศ.สูง หรืออนุปริญญา
เรียน 2 ปี เมื่อสำเร็จจะได้ปริญญาการศึกษาบัณฑิต
วันที่ 14 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2518 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิทยาลัยครู
ซึ่งมีผลทำให้วิทยาลัยครูทั้ง 36 แห่งทั่วประเทศสามารถเปิดสอนได้ถึงระดับปริญญาตรี
จึงได้รับการปรับหลักสูตรประโยคครูอุดมศึกษา เป็นหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
พ.ศ. 2521 วิทยาลัยครูพระนคร
เปิดโครงการฝึกอบรมครูประจำการ (อ.ค.ป.) ร่วมกับหน่วยงานต้นสังกัด
พร้อมกับเลิกการผลิตครูระดับป.กศ.สูง และระดับปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิตเพิ่มขึ้น
และในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้เปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีคุรศาสตรบัณฑิต
หลักสูตร 4 ปี เป็นรุ่นแรก
พ.ศ. 2527 ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติวิทยาลัยครู
(ฉบับที่ 2) ซึ่งเป็นฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
ทำให้วิทยาลัยครูสามารถเปิดสอนสาขาวิชาอื่นนอกเหนือจากวิชาชีพครู
โดยสภาการฝึกหัดครูอนุมัติให้เปิดสอนใน 3 สาขา คือ
สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาศิลปศาสตร์ และในปีการศึกษา 2528 ก็ได้เปิดรับนักศึกษาสำหรับบุคลากรประจำการ (กศ.บป.)
ทั้งสายวิชาชีพครูและสายวิชาการอื่น
จากนั้นก็ได้มีการขยายและพัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของท้องถิ่น
และประเทศชาติมาโดยลำดับ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานนาม "สถาบันราชภัฏ"
เป็นชื่อสถาบันการศึกษาในสังกัดกรมการฝึกหัดครูกระทรวงศึกษาธิการ
ทั้งยังได้พระราชทานตราพระราชลัญจกรให้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏด้วย
และเมื่อได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2538 วิทยาลัยครูพระนคร
จึงได้ชื่อว่า "สถาบันราชภัฏพระนคร" และมีภารกิจตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ. 2538 คือ
"เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง
ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ปรับปรุง ถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี
ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ผลิตครู และส่งเสริมวิทยฐานะครู"
ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า
เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี
สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ
สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ
วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ
ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย
ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
ความเป็นมาของครู
จากแนวความคิดนี้
กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ
ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก
ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี
เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ
คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า
เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์
ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม
ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน
การฝึกหัดครู
การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้และพัฒนาการเรียนการสอน
และงานในหน้าที่ครูอย่างเข้มข้นและเป็นรูปธรรม
เป็นโอกาสที่จะได้นำความรู้และทฤษฎี ไปประยุกต์ใช้
และสร้างองค์ความรู้ทางการศึกษา เพื่อสร้างสรรค์และแก้ปัญหาในกระบวนการทำงาน
โดยมีครูพี่เลี้ยง อาจารย์นิเทศ และผู้บริหารสถานศึกษา
เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ และความช่วยเหลือ
การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูใช้ระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติการสอนตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต 5 ปี เป็นเวลา 1 ปีการศึกษาตามข้อกำหนดของคุรุสภา
เพื่อยกระดับมาตรฐานการฝึกหัดครูให้สูงขึ้น
โดยมุ่งหวังว่านักศึกษามีทักษะในการสอนและปฏิบัติงานในหน้าที่ครูอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีร่วมกับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในท้องถิ่นจึงจัด
การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูขึ้น
การพัฒนาครูในศตวรรษใหม่
จับกระแสการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21: ข้อคิดและทิศทางเพื่อการพัฒนาครูไทย
โครงการจับกระแสความเคลื่อนไหวและนวัตกรรมในการจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กและเยาวชน(INTREND)โดยสถาบันรามจิตติภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
ได้จัดเสวนาครั้งที่ 5 เรื่อง “จับกระแสการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 : ข้อคิดและทิศทางเพื่อการพัฒนาครูไทย"
กระแสการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 ได้กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษาทั่วโลก
ในรายงานเรื่อง21st
Century
Skills ได้พูดถึงแนวโน้มของคุณลักษณะของกำลังคนรุ่นใหม่ในอนาคตที่ย้ำทักษะร่วมสำคัญ
คือ “3Rs 7C 2L” ที่เป็นทักษะจำเป็นยิ่งทั้งในทักษะพื้นฐาน“อ่าน
เขียน คิดคำนวณ” (3R)และทักษะเท่าทัน“มีวิจารณญาณ
สู่การสร้างสรรค์ ทำงานร่วมมือ สื่อสารยุคใหม่
เข้าใจพหุวัฒนธรรม
ย้ำความเชื่อมั่น ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง” (7C) รวมถึง “ทักษะการเรียนรู้และความเป็นผู้นำ”
(2L) และยังชี้ทิศทางของการศึกษาที่จะเปลี่ยนไปไม่ว่าจะอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะมาปฏิวัติการเรียนรู้
รูปแบบชั้นเรียนที่จะมีลักษณะเป็นห้องทำงานปฏิบัติการ (Studio) รวมถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเรียนเป็นทีมและลงมือทำ (Team
Learning
& Action Learning
จากการประมวลวรรณกรรมแนวทางและนวัตกรรมการพัฒนาครูที่ดูจะถูกเน้นหนักมากในปัจจุบันน่าจะมีสาระสำคัญครอบคลุมแนวโน้มเชิงวิธีการ
5ประการคือ
1) การสร้างระบบครูผู้เชี่ยวชาญเป็น Coach ประกบตัวฝึกปฏิบัติให้ครู
เป็นการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างครูผู้มีประสบการณ์กับเพื่อนครูในการแก้ปัญหาการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคล
การมีระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษาหารือ
(Coaching
&
Mentoring) จึงกลายเป็นกลไกและวิธีการสำคัญของการพัฒนาครูในปัจจุบัน
2) การผสมผสานกระบวนการวัดผลเข้ากับกระบวนการสอนอย่างแนบแน่น
ปรับให้ยืดหยุ่นหลากหลายใช้ได้ในหลายสถานการณ์
หลายเป้าหมายการวัด
โดยเฉพาะการวัดทักษะหรือคุณลักษณะใหม่ๆ
ตามกรอบคิดร่วมสมัย
3) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาครู
เพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาครูทางไกลผ่านรูปแบบ Web-Based Training ต่างๆ และเพื่อ “จัดการความรู้” ระหว่างครูด้วยกัน
4)การเปลี่ยนไปสู่โฉมหน้าใหม่ “โรงเรียนเรียนรู้
ครูนักวิจัย” จากกรณีศึกษาประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศที่ต่างพยายามปรับรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนไปสู่การเป็น
“องค์กรการเรียนรู้” ที่เน้นให้ครู
“เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากประสบการณ์สะสมซึ่งกันและกัน” มากยิ่งขึ้น
5)ยุทธศาสตร์“การสร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟพลังครู”
(Motivation
&
Inspiration) เน้นการค้นหาและหนุนเสริม
“ครูผู้จุดไฟการเรียนรู้” ครูในแบบดังกล่าวจะถูกเน้นการฝึกให้รู้จักตั้งคำถามดีๆ
เชื่อมโยงประเด็นสำคัญและตั้งโจทย์ชวนเด็กคิดได้มาก
แนวทางของการพัฒนาครูมักใช้ตัวอย่างจากครูผู้สร้างแรงบันดาลใจด้วยกันมาแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์หรือการเน้นให้ฝึกตั้งคำถามดลใจ
อันจะทำให้ผู้เรียนเกิดการใฝ่เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น